อาณาจักรโบราณที่เกี่ยวข้องกับเมืองขุขันธ์


อาณาจักรฟูนันและอาณาจักรเจนละ

ในพุทธศตวรรษที่  1  ราว  2500  ปีก่อน   กลุ่มชาติพันธ์มอญ - เขมร [Mon - Khmer] (ออสโตรเอเซียติก)   อพยพจากจีนตอนใต้    มาอยู่ในสุวรรณภูมิ  หรือเอเซียอาคเนย์  โดยกลุ่มมอญอพยพตามแม่น้ำสาละวิน       ภายหลังสถาปนาอาณาจักร  สุธรรมวดี    (สะเทิมปัจจุบันคือพื้นที่ภาคใต้ตอนบนของพม่า  ส่วนกลุ่มเขมรอพยพตามแม่น้ำโขง  ภายหลังสถาปนาอาณาจักรขอมที่ยิ่งใหญ่    ในวิชานิรุกติศาสตร์    เรียก    กลุ่มตระกูลภาษามอญ-เขมร

                ในราวพุทธศตวรรษที่ 6 จนถึงราว พ.. 1100   เกิดอาณาจักรฟูนัน (Funan)  จีนเรียกว่า  ฝูหนาน   ถือเป็นอาณาจักรเก่าแก่แรกสุดของชนเชื้อสายกัมพูชา  อยู่ทางใต้แหลมอินโดจีนมีเมืองหลวงตั้งอยู่แถบเมืองบาพนม เมืองเปรเวง  ในเขมร และจังหวัดออกแอ้ว  (Oc-Eo) ในประเทศเวียดนาม   อันเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเล  ตรงดินดอนสามเหลี่ยม ปากแม่น้ำโขง  ทางตอนใต้ของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน 

นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ฟูนัน ถ่ายเสียงมาจากคำว่า  พนมที่แปลว่าภูเขา  และยังเป็นตำแหน่งของกษัตริย์ที่มีความหมายว่า  เป็นราชาแห่งภูเขา “    บันทึกของนักประวัติศาสตร์ชาวจีนเลยเรียกพระนามกษัตริย์เป็นชื่ออาณาจักร    ซึ่งฟูนันในยุคนั้นได้รับอิทธิพลศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู  ที่กำลังเฟื่องฟูอยู่ในชวาและคาบสมุทรอินโดจีน   โดยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง    อาณาจักรฟูนัน   มีเมืองหลวงชื่อ     “นอกอ  โคกทะโหลกแปลว่า  นครเนินต้นพอก  (นอกอ  เป็นคำของชาวตะวันตก  หรือ พวกฝรั่ง    Nor-Kor  ออกเสียงเพี้ยนมาจากภาษาเขมรคำว่า   นคร = นคร   หมายถึง    เมืองใหญ่    

โคก = เป็นภาษาเขมร  แปลว่า  ที่สูง บริเวณที่น้ำท่วมไม่ถึง , ทะโหลก = ต้นพอก)  “นอกอ โคกทะโหลก คือ เมืองใหญ่ในบริเวณเนินที่มีต้นพอกขึ้นชุกชุม   เมืองใหญ่ในบริเวณที่สูงซึ่งมีป่าประกอบด้วยหมู่ต้นพอกขึ้นหนาแน่น   ชุมชนใหญ่ในหมู่ป่าไม้ที่เต็มไปด้วยต้นพอก   นครแห่งหมู่ไม้จำพวกต้นพอก

                พุทธศตวรรษที่ 11 อาณาจักรฟูนันอ่อนแอลงและล่มสลาย  พระเจ้าภววรมันที่ ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์องค์หนึ่งของอาณาจักรฟูนัน  ก็ได้ประกาศตนเป็นอิสระ  แยกตัวออกมาจากอาณาจักรฟูนัน  รวบรวมกำลังมาตั้งอาณาจักรแห่งใหม่ขึ้น  เรียกว่า  อาณาจักรเจนละ  คำว่า  เจนละ  มาจากภาษาเขมรว่า                ชาน่เลี[1]  ออกเสียงตามภาษาเขมร ว่า    เจือนเลอ   หมายถึง   ข้างบน  ชั้นบน  ที่ข้างบน  ด้านเหนือ  อันหมายถึงดินแดนที่อยู่เหนือทะเลสาบเขมรในปัจจุบันขึ้นมา  ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีได้นำเอาจดหมายเหตุของชาวจีนที่บันทึกไว้ในราวพุทธสตวรรษที่   6   ไปตรวจสอบ

พร้อมทั้งพิจารณาหลักฐานที่ได้จากศิลาจารึกและโบราณวัตถุต่างๆที่ค้นพบ ต่างมีความเห็นตรงกันว่าอาณาจักรเจนละนั้น   จุดเริ่มต้นน่าจะมีถิ่นที่อยู่แถบเมืองเศรษฐปุระ ในบริเวณแถวปราสาทวัดภู    ริมฝั่งแม่น้ำโขง  แคว้นจำปาสัก  ในประเทศลาวปัจจุบันนั่นเอง      ต่อมาก็ได้ขยายอาณาเขตลงมาสู่ตอนล่าง   ในถิ่นที่เคยเป็นอาณาเขตแว่นแคว้นของอาณาจักรฟูนันมาก่อนและได้สถาปนาศูนย์กลางอาณาจักร       ในบริเวณแถบเมืองภวปุระ (เหนือกำปงธมเหนือทะเลสาบใหญ่ในประเทศกัมพูชาปัจจุบันในระหว่าง  ที่พระเจ้าภววรมันที่ 1   ยังทรงครองราชย์อยู่นั้น   พระอนุชาของพระองค์ ชื่อเจ้าชายจิตรเสน ก็ได้ทำการขยายอาณาเขตและรวบรวมเอาบ้านเมืองน้อยใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง  แล้วแผ่อาณาเขตลงสู่ดินแดนเขมร ในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง  โดยทุกครั้งที่ทรงได้รับชัยชนะหรือแผ่อำนาจไปถึง    พระองค์ก็จะสร้างศาสนสถานและรูปเคารพ พร้อมกับจารึกขึ้นเพื่อเป็นการอุทิศถวายแด่พระศิวเทพ  ทังนี้พระองค์ยังได้มีพระราชประสงค์เพื่อจะให้เป็นที่เคารพสักการะแก่ปวงพสกนิกรของพรองค์  ณ  บริเวณชุมชนแห่งนั้นๆด้วยจารึกจิตรเสน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ชี มูล  หลักฐานการ แพร่กระจายของวัฒนธรรม เจนละ หรือ วัฒนธรรมขอมสมัยก่อนเมืองพระนคร (ราวพุทธศตวรรษที่ 12-14)  เข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นจารึก ซึ่งจารึกที่พบในประเทศไทยนี้ มักมีข้อความสอดรับกันดี กับจารึกที่พบในประเทศกัมพูชา และจดหมายเหตุจีน สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อใดที่กษัตริย์ที่ทรงอานุภาพ ขึ้นครองราชย์ที่ราชธานีของอาณาจักรขอมแล้ว ก็มักจะแผ่พระเดชานุภาพ เข้าไปในดินแดนใกล้เคียง รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งหลักฐานจากจารึกเหล่านี้ ทำให้เชื่อกันว่า ในช่วงเวลานั้น อาณาจักรเจนละ ซึ่งอยู่ในลุ่มน้ำโขงตอนกลาง เขตเมืองจำปาสักประเทศลาวปัจจุบัน มีเศรษฐปุระเป็นศูนย์กลาง ศาสนสถานหลักของชุมชนแห่งนี้คือ วัดภู กับดินแดนประเทศไทย น่าจะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ตั้งแต่ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 12  พระเจ้าจิตรเสน หลักจากขึ้นครองราชย์แล้ว ทรงพระนามว่า พระเจ้ามเหนทรวรมัน เป็นกษัตริย์องค์สำคัญของเจนละ ที่เรืองอำนาจมากพระองค์หนึ่ง หลักฐานเกี่ยวกับอำนาจของพระองค์นั้น  พบอยู่เป็นจำนวนมาก ในดินแดนภาคใต้ของประเทศลาว และบริเวณภาคเหนือ ชองประเทศกัมพูชาปัจจุบัน แต่ที่พบมากที่สุดนั้น น่าจะได้แก่ บริเวณลุ่มแม่น้ำมูล ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย  พระเจ้าจิตรเสน ทรงเป็นเจ้าชายที่มีความเชี่ยวชาญการศึกสงคราม จดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์ซุย เมื่อประมาณ พ.. 1132-1161 ได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้าจิตรเสนพระองค์นี้น่าจะได้เผชิญศึกสงคราม ควบคู่ไปกับพระเชษฐาของพระองค์ คือ พระเจ้าภววรมันที่ 1 เจ้าชายทั้ง 2 พระองค์ ทรงเป็นนักรบ ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ก่อตั้งอาณาจักรเจนละขึ้น โดยยกกองทัพต่อต้านอาณาจักรฟูนันจนประสบชัยชนะ     ทุกครั้งที่พระเจ้าจิตรเสนได้รับชัยชนะ ก็จะสร้างศาสนสถานพร้อมทั้งจารึก ประกาศพระราชประสงค์ที่สร้างรูปเคารพขึ้น เป็นการอุทิศถวายแด่พระศิวะเทพเจ้า โดยมีพระประสงค์ จะให้เป็นที่สักการะบูชาของปวงชน ณ อาณาบริเวณนั้นๆ อีกทั้งเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง และเป็นที่ระลึกแห่งชัยชนะของพระองค์ด้วย        หลักฐานเก่าที่สุดที่พบในประเทศไทย ได้แก่ ศิลาจารึกที่ระบุพระนามของพระเจ้าจิตรเสน หรือ พระเจ้า

มเหนทรวรมัน ปัจจุบันนี้พบแล้ว  จำนวน 10 หลัก มีทั้งจารึกอยู่บนแท่งหิน ที่ทำขึ้นโดยเฉพาะ บนฐานประติมากรรม และบนผนังถ้ำ จารึกไว้ด้วยภาษาสันสกฤตเหมือนกันทุกหลัก ถึงแม้จะไม่ปรากฎศักราช แต่เมื่อศึกษาวิเคราะห์รูปอักษรในจารึกแล้ว ทราบว่าเป็นรูปอักษรปัลลวะ ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 จารึกเหล่านี้ พบอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 5 หลัก ได้แก่ จารึกปากแม่น้ำมูล 1 และ จารึกปากโดมน้อย จารึกวัดสุปัฏนาราม และ จารึกถ้ำภูหมาไน จารึกถ้ำเป็ดทอง 3 หลัก ที่อำเภอปะคำ  จังหวัดบุรีรัมย์  บริเวณลุ่มแม่น้ำชีตอนบนพบจารึกวัดศรีเมืองแอม  ที่อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น   ในภาคตะวันออก พบจารึกช่องสระแจง ที่อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว หากเชื่อว่าจารึกที่กล่าวถึงพระนามของกษัตริย์ขอม ปรากฏอยู่ ณ ที่ใด ก็อาจจะแสดงถึงความสัมพันธ์ ระหว่างราชอาณาจักรขอมกับดินแดนนั้นๆ แล้ว จากจารึกเท่าที่พบแล้วในปัจจุบัน ทำให้ทราบถึง ร่องรอยความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเจนละ ในรัชกาลพระเจ้ามเหนทรวรมันนี้ มีอาณาเขตครอบคลุม ลำน้ำโขง ตั้งแต่เมืองภวปุระ ซึ่งเป็นเมืองราชธานีในเขตประเทศกัมพูชา ผ่านเมืองจำปาสัก เขตประเทศลาว เข้าสู่ดินแดนทิศตะวันตกเขตประเทศไทย ที่ปากแม่น้ำมูล จังหวัดอุบลราชธานี ล่องตามลำน้ำเข้ามาถึงบริเวณจังหวัดบุรีรัมย์ และขึ้นมาตามลำน้ำ ที่จังหวัดขอนแก่น  ส่วนดินแดนตอนใต้นั้นเข้าไปถึง บริเวณเทือกเขาดงเร็ก   ที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ในลุ่มแม่น้ำบางปะกง  และบางทีอาจจะเลยเข้าไปถึงลุ่มแม่น้ำป่าสัก ที่จังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย

           หลักฐานจากจารึกที่กล่าวมานี้ นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์รุ่นแรกสุดที่พบ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างชุมชนโบราณในแถบอีสาน กับอาณาจักรเจนละทั้งด้านการปกครอง และศาสนาระยะแรกเริ่มโดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย ข้อความในจารึกทั้งหมด แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

             1.กล่าวถึงพระนามพระเจ้าจิตรเสน  ไม่ได้กล่าวถึงพระนาม พระเจ้ามเหนทรวรมัน ได้แก่จารึกถ้ำเป็ดทอง  แสดงว่ามีการจารึกในสมัยที่พระองค์ยังเป็นพระเจ้าจิตรเสน  ทรงนับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย ตามบรรพบุรุษ  เมื่อทำสงครามชนะข้าศึกแล้ว พรองค์ได้สร้างศิวลึงค์ ด้วยความภักดีตามคำสั่งของพระบิดาและมารดา

            2.กล่าวถึงพระประวัติพระเจ้ามเหนทรวรมัน ในการสร้างศิวลึงค์ไว้เป็นเครื่องหมายแห่งชัย

ชนะของพระองค์ ได้แก่  จารึกปากน้ำมูล 1 และ 2   จารึกวัดสุปัฏนาราม   และจารึกปากโดมน้อย

           3.กล่าวถึงพระประวัติ พระเจ้ามเหนทรวรมัน  เหมือนกลุ่มที่ 2 แต่ตอนท้ายต่างกัน คือ ให้สร้าง โคอุสภะ ไว้เป็นสวัสดิมงคล แก่ชัยชนะของพระองค์ ได้แก่จารึกถ้ำภูหมาไน  และจารึกวัดศรีเมืองแอม

          4.กล่าวถึงการสร้างบ่อน้ำไว้ให้แก่ประชาชน ในจารึกช่องสระแจงในกลางพุทธศตวรรษที่  12     เจ้าชายจิตรเสน ก็ได้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเจนละสืบแทนพระเจ้าภววรมันที่ 1ทรงพระนามว่า  พระเจ้ามเหนทรวรมัน ทำให้อาณาจักรเจนละของพระองค์   ยิ่งแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น   ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตั้งแต่เมืองภวปุระ (เหนือกำปงธม) ในประเทศกัมพูชาปัจจุบัน  ขึ้นไปจนถึงแคว้นจำปาศักดิ์ของประเทศลาว  และเข้าสู่ดินแดนของประเทศไทยที่ปากน้ำมูล อำเภอโขงเจียม  จังหวัดอุบลราชธานี  ขยายไปตามลุ่มแม่น้ำมูลและแม่น้ำชีไปจนถึงลุ่มน้ำป่าสัก  และดินแดนทางใต้  ตั้งแต่บริเวณเทือกเขาพนมดงเร็ก  ไปจนถึงลุ่มน้ำบางปะกง  บางส่วนอีกด้วยในขณะเดียวกัน  พระองค์ก็ยังทรงมีสัมพันธ์ไมตรีที่ดีกับอาณาจักรจามปา   ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของอาณาจักรเจนละออกไป

พระเจ้ามเหนทรวรมัน  ทรงมีพระราชโอรสอยู่พระองค์หนึ่ง  มีพระนามว่า    อีสานวรมัน  (Isanavaraman) ซึ่งต่อมาก็ทรงได้เป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งและได้สร้างราชธานีขึ้นที่เมืองอีสานปุระ  

ซึ่งก็คือ    เมืองสมโบไพรกุก (Sambor Prei Kuk)  .. 1188 - 1224   ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัด  กำปงธม         ในบริเวณโรงเรียนมัธยมที่ชื่อว่า  วิทยาลัยกัมปงเฌอเตียล  (Kampong Chheuteal High School)  อำเภอปราสาทซ็อมโบร์   อยู่ห่างจากตัวจังหวัดกำปงธมประมาณ 35 กิโลเมตร โรงเรียนนี้  สมเด็จพระเทพ-

รัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี        (Her  Royal  Highness  Princess  Maha  Chakri  Sirindhorn) ทรงสร้างให้กัมพูชา   เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์  2543   แล้วเสร็จเมื่อปี  2548       

             ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12  อาณาจักรเจนละก็เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ  จนกระทั่งมาถึงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ อาณาจักรเจนละก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน  คือส่วนที่เป็นอาณาจักรเจนละบก  และอาณาจักรเจนละน้ำบริเวณอาณาจักรเจนละบก     นั้น  เข้าใจว่าว่าน่าจะครอบคลุมอยู่ระหว่างสองฝั่งแม่น้ำโขง  ทั้งดินแดนในเขตภาคอีสานของประเทศไทย    และดินแดนบางส่วนของประเทศลาวตั้งแต่หลวงพระบาง  เวียงจันทน์ลงมาถึงจำปาสักส่วนบริเวณอาณาจักรเจนละน้ำ      น่าจะครอบคลุมลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้ และบริเวณทะเลสาบใหญ่ของประเทศกัมพูชาในปัจจุบันเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 14  เริ่มเข้ายุคทองของอาณาจักรขอม  เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 2   ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่ออาณาจักรศรีวิชัย  แห่งหมู่เกาะชวา   ทรงรวบรวมอาณาจักรเจนละบกและเจนละน้ำให้เป็นปึกแผ่น     ทรงรับลัทธิไศเลนทร์     หรือ เทวราชา ”  จากชวามาสถาปนาในอาณาจักรของพระองค์  จนเกิดเป็นราชประเพณีในการสร้างปราสาทหรือเทวาลัย  ซึ่งเป็นศาสนสถานบนฐานเป็นชั้นถวายเป็นทิพย์วิมานของเทพเจ้าบนโลกมนุษย์และเป็นราชสุสานของกษัตริย์ขอมยามเสด็จสวรรคต  และหลอมดวงพระวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้าที่พระองค์นับถือ  กล่าวได้ว่าได้ทรงนำความเชื่อใหม่ๆเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ศิลป  ชะตากรรมของชาวขอม  ทั้งนี้เรื่องราวของรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ปรากฏอยู่ในศิลาจารึกค้นพบที่ปราสาทสดกก๊กธม  บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา  เขตอำเภอตาพระยา  จังหวัดสระแก้ว  ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งฃาติ  กรุงเทพมหานครจากหลักฐานทางโบราณคดีระบุว่า เมืองหลวงของอาณาจักรขอมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ มีหลายแห่ง  เช่น  ที่อมเรนทรปุระ  บนเทือกเขาพนทกุเลน  ทางตะวันตกของนครวัด  เมืองหริทราลัย  ที่ตำบลโรลูสในปัจจบัน     ซึ่งที่ตำบลโรลูสนี้เคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าฃัยวรมันที่ พระเจ้าชัยวรมันที่ 3    พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1    และพระเจ้ายโศวรมันที่ 1     จึงปรากฏมีปราสาท หรือเทวสถานที่สำคัญหลายแห่ง      เช่น  ปราสาทพระโค   บากอง    โรลูสการที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 สามารถรวบรวมอาณาจักรเจนละทั้งสองเข้าด้วยกันได้ และปลดแอกเจนละออกจากการเป็นเมืองขึ้นของชวา    แล้วได้สถาปนาระบบเทวราชาขึ้น    ถือว่าเป็นการพัฒนาการของอาณาจักเจนละ ก่อเกิดเป็น อาณาจักรกัมพูชา   โดยมีศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ที่เมืองพระนคร    และสามารถติดกับดินแดนที่ราบสูงทางภาคอีสานของไทย  โดยผ่านขึ้นมาตามช่องเขาต่างๆของเทือกเขาพนมดงเร็ก  หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการคมนาคม   หรือการเดินทางไปมาติดต่อกันระหว่างอาณาจักรเจนละน้ำในดินแดนเขมรต่ำและเจนละบกในดินแดนที่ราบสูงของเขตอีสานในประเทศไทยนั้น  ซึ่งในปัจจุบันเราก็ได้เห็นซากปรักหักพังของเทวาลัย  หรือ  เทวสถาน  ที่ เราเรียกว่า   ปราสาท   นั้นกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ    ตั้งแต่เมืองพระนคร (นครวัด นครธม) เรื่อยมาจนถึงทั่วภาคอีสานของประเทศไทย พระเจ้ามเหนทรวรมัน  กษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ  ทรงเป็นแบบอย่างอันดียิ่งของกษัตริย์กัมพูชาในยุคต่อๆมา  คือนับตั้งแต่พระเจ้า อีสานวรมันและพระเจ้าชัยวรมันที่ ในปลายพุทธศตวรรษที่ 12   ซึ่งเป็นยุคก่อนเมืองพระนครเรื่อยมา  จนกระทั่งถึงยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่  กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์สุดท้ายแห่งกัมพูชาในยุคของเมืองพระนคร  หรือในราวพุทธศตวรรษที่ 18      ซึ่งเกือบจะทุกพระองค์ ที่ทรงโปรดให้สร้างศาสนสถาน     หรือสิ่งก่อสร้างอันเป็นสัญลักษณ์ต่างๆขึ้น    ตามอย่างบุรพกษัตริย์พระองค์ก่อนๆ   เพื่อใช้เป็นสถานที่ แสดงความเคารพบูชาต่อเทพเจ้าในชุมชนต่างๆตามความเชื่อทางศาสนาในการสร้างปราสาท หรือเทวาลัย จะมีการจัดสร้าง  บาราย    หรือสระน้ำ  เพื่อที่จะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันของประชาชน  รวมทั้งการสร้างบรรณาลัยหรือห้องสมุดไว้สำหรับเป็นที่เก็บพระคัมภีร์ทางศาสนา    และการสร้าง   อโรคยาศาลา  หรือโรงพยาบาล  ไปพร้อมๆกันในบริเวณนั้นด้วยเสมออารยธรรมที่เกิดขึ้นบนพื้นแผ่นดินอีสานของประเทศไทยในปัจจุบันนี้      นับตั้งแต่พระเจ้ามเหนทรวรมันเป็นต้นมา  ได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางตามแบบฉบับของอารยธรรมที่มีลักษณะเป็นของตนเองโดยเฉพาะ คือการเป็นสังคมทางด้านเกษตรกรรม ที่มีผู้นำหรือชนชั้นปกครองนับถือทั้งศาสนาฮินดูทั้งลัทธิไศวนิกาย   และลัทธิไวษณพนิกาย    โดยในส่วนของประชาชนนั้นสามารถเลือกที่จะนับถือได้ทั้งศาสนาฮินดู      และศาสนาพุทธ  โดยมีสภาพชีวิตทางสังคมที่ผสมผสานกันไป   และภาษาที่ใช้กันในยุคนั้นมีทั้งภาษาบาลี  สันสกฤต  ภาษามอญ และ ภาษาเขมร

อาณาจักรกัมพูชา

                   นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15  มาจนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ 18  แผ่นดินอีสานของประเทศไทยได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอาณาจักรกัมพูชามาโดยตลอด  จึงทำให้มีมรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นผลมาจากความเชื่อทางศาสนาได้ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปของการสร้างปราสาทและเทวาลัยรวมทั้งรูปเคารพต่างๆ    กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป บนพื้นแผ่นดินอีสานของไทยในปัจจุบันเนื่องจากเมืองพระนคร   (บริเวณนครวัดนครธม) อันเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรขอมโบราณ  มีระยะห่างจากดินแดนอีสานของประเทศไทยปัจจุบันเพียงประมาณ 200 กิโลเมตรเท่านั้น   ทำให้ดินแดนอีสานส่วนนี้กลายเป็นดินแดนที่กษัตริย์กัมพูชา    นับตั้งแต่พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2   จนถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7   ได้ขยายอำนาจเข้ามาปกครองและโปรดให้สร้างศาสนสถานเพื่อเป็นการสืบสานพระศาสนามาตลอดสำหรับกษัตริย์ที่เป็นที่ยอมรับโดยคนทั่วไปว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกัมพูชาพระองค์หนึ่ง คือพระเจ้าชัยวรมันที่ 7    พระองค์ได้ทรงขยายพระราชอาณาเขตไปอย่างกว้างขวาง   และยังได้ทรงสร้างศาสนสถานเอาไว้เป็นจำนวนมาก     ทั้งในราชธานีและหัวเมืองต่างๆที่พระราชอำนาจได้แผ่ไปถึงงานทางสถาปัตยกรรมที่พระองค์ทรงสร้างเอาไว้รวมไปถึงพระนครธม  ซึ่งมีกำแพงแต่ละด้านยาวถึง  12  กิโลเมตร   และมีคูเมืองขนาดมหึมาล้อมรอบโดยมี  ปราสาทบายน   เป็นศูนย์กลางของพระนครธมอันยิ่งใหญ่  คูเมืองในสายทางที่ล้อมรอบปราสาทนครวัดที่เรียกโดยชาวกัมพูชาว่าปราสาทองค์เล็ก    เรียกว่า     วงเล็ก และสายทางที่ล้อมปราสาทบายนที่เป็นศูนย์กลางของพระนครธมอันยิ่งใหญ่     เรียกว่า  วงใหญ่    นอกจากนั้นแล้ว  พระองค์ยังได้สร้างปราสาทองค์เล็กๆเพื่อเป็นที่พักสำหรับคนเดินทาง  หรือ  ที่เรียกว่า  บ้านพักคนมีไฟ”  เอาไว้อีกถึง  102  แห่ง  กระจายไปทั่วทั้ง  ทิศ  ทั่วทั้งพระราชอาณาจักร  เราจึงอาจพูดได้ว่า ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในพระราชอาณาจักรกัมพูชาสามารถนำหินจำนวนมากมายเหลือจะคณานับ  มาก่อสร้างปราสาท หรือโบราณสถานได้มากเท่ากับพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

                 ภายหลังจากการสิ้นสุดในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่  7   นี้ไปแล้ว   อาณาจักรของกัมพูชาก็เริ่มเสื่อมลง  จึงทำให้พระราชอาณาจักรกัมพูชา  อันมีนครวัดนครธมเป็นศูนย์กลาง    ได้เสื่อมสลายลงไป  และจนในที่สุดในราวกลางพุทธศตวรรษที่  20  กัมพูชาจึงได้ละทิ้งเมืองพระนคร  หรือนครธม      ย้ายไปอยู่ที่พนมเป็ญ          อันเป็นเมืองที่ไม่ไกลไปจากราชธานีเดิมของอดีตแห่งอาณาจักรฟูนันในสมัยเมืองพระนครเท่าใดนัก

ที่มา  หนังสือเมืองขุขันธ์ ของสภาวัฒนธรรมอำเภอขุขันธ์ พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2548

 

หมายเลขบันทึก: 290464เขียนเมื่อ 24 สิงหาคม 2009 07:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 18:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท